การซื้อขาย CFD ทำงานอย่างไร
Contract for Difference (CFD) คืออนุพันธ์ทางการเงินประเภทหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของหรือส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิง
หลักการเทรด CFD
หลักการของการซื้อขาย CFD คือนักลงทุนและตัวแทนจำหน่ายลงนามในสัญญา โดยตกลงที่จะใช้ราคาตลาดของสินทรัพย์อ้างอิงเป็นข้อมูลอ้างอิงในการเปิดและปิดสถานะ และจ่ายหรือรับส่วนต่างตามทิศทางและขนาดของราคา การเปลี่ยนแปลง . ข้อดีของการซื้อขาย CFD คือนักลงทุนสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มผลตอบแทน เปิดสถานะ Long หรือ Short ในตลาดใดก็ได้ หลีกเลี่ยงภาษีแสตมป์และต้นทุนการทำธุรกรรมอื่น ๆ และเพลิดเพลินกับการลงทุนที่หลากหลายในสินทรัพย์หลายประเภท ความเสี่ยงของการซื้อขาย CFD คือนักลงทุนอาจขยายการขาดทุนเนื่องจากเลเวอเรจ อาจเผชิญกับความผันผวนของตลาดและความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยข้ามคืนและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ และอาจต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและภาษี
การซื้อขาย CFD ทำงานอย่างไร?
1. เลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายและโบรกเกอร์ที่เหมาะสม
นักลงทุนควรเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เชื่อถือได้ ถูกกฎหมาย และปลอดภัย และตัวแทนจำหน่ายที่ให้บริการซื้อขาย CFD ตามวัตถุประสงค์การลงทุน การยอมรับความเสี่ยง ขนาดเงินทุน กลยุทธ์การซื้อขาย และปัจจัยอื่น ๆ ผู้ลงทุนควรอ่านและทำความเข้าใจข้อกำหนดของสัญญา โครงสร้างค่าธรรมเนียม การเปิดเผยความเสี่ยง และเอกสารอื่นๆ ที่ตัวแทนจำหน่ายให้ไว้อย่างรอบคอบ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจสิทธิและภาระผูกพันของตนอย่างชัดเจน
2. เปิดบัญชีซื้อขายและฝากเงิน
นักลงทุนจำเป็นต้องเปิดบัญชีสำหรับการซื้อขาย CFD บนแพลตฟอร์มการซื้อขายโดยเฉพาะ และฝากเงินจำนวนหนึ่งไว้เป็นมาร์จิ้นตามความต้องการของดีลเลอร์ มาร์จิ้นเป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนที่นักลงทุนต้องจ่ายให้กับเทรดเดอร์เพื่อรองรับตำแหน่งที่พวกเขาเปิด จำนวนมาร์จิ้นที่ต้องการขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของดีลเลอร์และความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิง โดยทั่วไป ยิ่งมาร์จิ้นต่ำ เลเวอเรจก็จะยิ่งสูงขึ้น ผลตอบแทนและความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้น
3. เลือกสินทรัพย์อ้างอิงและวิเคราะห์ตลาด
นักลงทุนสามารถเลือกสินทรัพย์อ้างอิงที่พวกเขาสนใจบนแพลตฟอร์มการซื้อขายสำหรับธุรกรรม CFD สินทรัพย์อ้างอิงอาจเป็นตลาดต่างๆ เช่น หุ้น ดัชนี การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงินดิจิทัล เป็นต้น ผู้ลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์เหตุการณ์ข่าว และวิธีการอื่น ๆ เพื่อคาดการณ์และประเมินการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิงโดยอิงจาก การตัดสินใจของตนเองเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดและความคาดหวังในอนาคต และกำหนดแผนการซื้อขายที่เหมาะสม
4. เปิดสถานะและตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit
นักลงทุนตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงตามแผนการซื้อขายของตนเอง และออกคำสั่งเปิดบนแพลตฟอร์มการซื้อขาย คำสั่งเพื่อเปิดตำแหน่งอาจเป็นคำสั่งตลาดหรือคำสั่งที่รอดำเนินการ Market Order คือคำสั่งที่จะดำเนินการทันทีตามราคาตลาดปัจจุบัน และ Pending Order คือคำสั่งที่จะดำเนินการในอนาคตตามราคาที่กำหนดไว้โดยนักลงทุน หลังจากเปิดสถานะแล้ว นักลงทุนควรตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit เพื่อควบคุมความเสี่ยงและผลกำไร Stop Loss หมายถึงคำสั่งให้ปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับหนึ่งและใช้เพื่อจำกัดการขาดทุน Take Profit หมายถึงคำสั่งให้ปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับหนึ่ง ซึ่งใช้เพื่อล็อคผลกำไร
5. ติดตามตำแหน่งและปรับกลยุทธ์
หลังจากเปิดตำแหน่งแล้ว นักลงทุนควรให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและสถานะบัญชีต่อไป และปรับระดับ Stop Loss และ Take Profit โดยทันที หรือเพิ่มหรือลดตำแหน่งตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเป้าหมายการซื้อขายของตนเอง นักลงทุนควรคำนึงถึงระดับมาร์จิ้นเพื่อให้แน่ใจว่ามีเงินทุนเพียงพอที่จะรักษาตำแหน่งของตนไว้ หากระดับมาร์จิ้นต่ำกว่าขั้นต่ำที่ตัวแทนจำหน่ายกำหนด นักลงทุนอาจได้รับการเรียกมาร์จิ้นโดยกำหนดให้ต้องเพิ่มเงินทุนหรือลดตำแหน่ง หากนักลงทุนไม่สามารถเรียกหลักประกันได้ทันเวลา เทรดเดอร์อาจบังคับให้ชำระบัญชีบางส่วนหรือทั้งหมด ส่งผลให้นักลงทุนสูญเสียเงิน
6. ปิดสถานะและชำระผลกำไร
เมื่อนักลงทุนบรรลุเป้าหมายการซื้อขายหรือต้องการยุติธุรกรรม พวกเขาสามารถออกคำสั่งปิดบนแพลตฟอร์มการซื้อขายเพื่อปิดสถานะที่เปิดอยู่ หลังจากปิดสถานะ สัญญาระหว่างนักลงทุนและตัวแทนจำหน่ายจะสิ้นสุดลง และกำไรหรือขาดทุนของนักลงทุนจะคำนวณตามส่วนต่างของราคาระหว่างตำแหน่งที่เปิดและปิด หากกำไรมากกว่าขาดทุน นักลงทุนสามารถรับส่วนต่างจากดีลเลอร์ได้ หากขาดทุนมากกว่ากำไร นักลงทุนต้องจ่ายส่วนต่างให้กับดีลเลอร์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบางอย่างให้กับดีลเลอร์ เช่น สเปรด ค่าคอมมิชชัน ดอกเบี้ยข้ามคืน เป็นต้น
ยังต้องการความช่วยเหลือใช่ไหม แชทกับเรา
ทีมบริการลูกค้าให้การสนับสนุนอย่างมืออาชีพถึง 11 ภาษาตลอดเวลา การสื่อสารที่ไร้อุปสรรค และการแก้ปัญหาของคุณอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

7×24 H